[Special Scoop] ตามรอย DENON ตะลอน Tokyo เที่ยวงานหูฟัง กับมหาจักร Episode 2

Episode 2

ตามรอย DENON ตะลอน TOKYO

ความเดิมจากตอนที่แล้วที่บักโจ จะพาผมไปที่โชว์รูมครับ

หลายท่านนึกว่าอ้าวเป็นโชว์รูมก็ต้องฟังได้อยู่แล้ว ตอบว่าผิดครับ!! ห้องนี้ทาง denon บอกว่าไม่ได้เปิดให้บุคคลทั่วไปฟัง เพราะที่นี่ไม่ใช่โชว์รูม แต่ห้องนี้เปิดไว้ให้สำหรับ Reviewer จากทั่วโลกได้มาฟังกันเท่านั้น ขาใหญ่จาก Stereophile, Absolute Sound รวมถึง What Hifi มาห้องนี้กันครบๆๆแล้วครับ 555


เก้าอี้สองตัวหน้าถูกจัดไว้ให้ผมกับเจ้าเบียสนั่ง เวลาเห็นอะไรที่มันจัดสรรไว้อย่างมีพิธีการทำให้ผมรู้สึกเสียวท้องน้อยแว่บๆขึ้นมาทันที เพราะถ้าออกลูกโง่ หรือออกลูกโฉ่งฉ่างฟังไม่รู้ มีหวังเสื่อมเสียชื่อคนไทยแน่ๆๆ แต่เอาวะ ลองดูซักตั้งนึง 555

  
ผมนั่งหน้ากับเจ้าเบียส ส่วนคุณสินกับคุณกิตขอนั่งแถวหลัง เก้าอี้มี 5 ที่นั่ง แต่คุณเด่นเป็นคนอาสาถ่ายรูปเลยไม่อยู่ในภาพ ส่วนที่เห็นยืนผูกไทผอมๆนั้น เดี๋ยวบอกให้ว่าคือใครครับ

ห้องนี้ขนาดกลางๆ ลำโพงที่ใช้ Reference เป็น B&W ลำโพงมีด้วยกัน 3 ตัว มันทำให้ผมสงสัยว่าตรงกลางมันคืออะไร แต่ก็ไม่กล้าถามครับ เพราะกลัวแกอธิบายกลับมาแล้วผมจะไม่เข้าใจ เลยต้องนิ่งๆไว้ตำลึงทองก่อน 555



ในห้องออกแบบอคูสติกไว้ค่อนข้างเงียบมาก การซับเสียงต่างๆค่อนข้างมาก และสไตล์การจัดนั้นต่างจากคนไทยหรือฝรั่ง คือประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศที่พื้นที่แพง ทุกอย่างเลยต้องขยับที่ทางตามสภาพ แต่อย่านึกว่าเค้าไม่ได้เซ็ทอัพอะไรนะครับ เค้าเซ็ทได้เก่งและตามที่พื้นที่ที่เค้ามีจริงๆล่ะครับ


แต่น แต๊นๆๆๆ ท่านนี้คือ Sound Manager ของ Denon ครับ หรือจะเอากันง่ายๆก็คือคนออกแบบเสียงของแบรนด์ denon นั่นเองครับ แกชื่อ Susumu Yoneda เป็นคนเก่าแก่ของ DENON ผ่านร้อนหนาวกับบริษัทมาช้านาน เป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของเครื่องเสียง DENON ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน


ตรงนี้เป็นหัวเข็มต่างๆที่ซือแป๋ Yoneda เคยออกแบบเสียงไว้ อย่างหัว DENON DL103 นี่ก็น่าจะเป็นหนึ่งในผลงานของแกล่ะครับ หลายคนอาจจะไม่เคยทราบว่า denon เป็นผู้นำในเรื่อง cartridge นะครับ อย่างหัวมูฟวิ่งคอยส์ Denon DL-103 นี่คือหัวเข็มที่ผลิตต่อเนื่องกันมายาวนานหลายสิบปี

ปัจจุบันก็ยังขายอยู่จ้าๆๆๆๆ

ป๋า Yoneda แกออกตัวก่อนว่าแกพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ดีนัก ซึ่งอาจจะพูดยาวๆไม่ได้ และแกพูดญี่ปุ่นจะคล่องกว่า ซึ่งปกติแล้วคนญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศชาตินิยม ทำให้คนญี่ปุ่นรุ่นเก่าๆหลายคนอาจจะภาษาอังกฤษไม่ดีพอ ซึ่งผมก็บอกกับป๋า Yoneda ว่าภาษาอังกฤษผมก็เข้าขั้นพิการเหมือนกัน Me too!

แล้วใครล่ะจะเข้ามาแก้ไขสถานการณ์วิกฤติเยี่ยงนี้!!!



  

จะใครล่ะถ้าไม่ใช่บักโจ 555 บักโจเป็นทำตัวเป็นแฟนต้ายุวทูต คือพอป๋า Yoneda พูดอธิบายออกมาท่อนนึง บักโจก็จะแปลเป็นภาษาอังกฤษให้เราได้ฟังกัน และเห็นหน้าบักโจแบบนี้ อย่านึกว่าเก่งเฉพาะทางด้านเซลล์หรือมาร์เก็ตติ้งนะครับ ไอ้หมอนี่ทางเอ็นจิเนียร์มันก็ได้


เมื่อกี๊ปูนบำเหน็จที่นาไปแล้ว 2 ไร่ สงสัยงานนี้ต้องให้ท่านรองประธาน denon มอบควายให้อีก 2 ตัวกลับไปเลี้ยงที่บ้านๆๆๆ 555



 ป๋าแกโชว์สเตปให้เราได้ฟังกันทีละขั้นตอน ด้วยการเปิดเพลงเวอร์ชั่นที่เป็นแผ่นไวนิลก่อน ด้วยแทร็คเดียวกันก็เปิดด้วยซีดียุคแรก แล้วเปลี่ยนเป็นซีดียุคหลัง จนมาเป็น SACD และไล่ไปจนเปิดฟังเป็นไฟล์ DSD ซะเลย

ป๋ายังโชว์สเตปเพชรฆาตนิ้วทองคำ ด้วยการเปิดปิดสวิทช์ตัวเครื่องดังป๊อกแป๊ก กดปุ่มแบบดีดนิ้วดังโป้กเป้ก สร้างความฮือฮาจากทุกๆคน

หลังจากนั้นป๋า Yoneda ก็ค่อยๆบรรจงเปิดให้เราฟังกันครับ เวลาแกจะเร่งโวลุ่มที่ปรีแอมป์ แกจะค่อยเร่งความดังขึ้นทีละนิด รวมถึงถ้ารู้ว่ากำลังจะปิด แกจะเดินมาค่อยๆหรี่ลงจนเบาสุดแล้วค่อยปิดเครื่องเล่น วิธีแบบนี้เราทุกคนควรฝึกให้ชิน เพราะจะได้ไม่ตกใจกับสัญญาณที่เผลอเปิดดังแล้วกระโชกโฮกฮากขึ้นมานั่นเองจ้าๆๆๆ

มีการเปลี่ยนสัญญาณต้นทางหลายตัวเพื่อไปที่เพาเวอร์แอมป์ครับ อย่างในภาพป๋าแกกำลังสลับเปลี่ยนสายสัญญาณให้อยู่ ที่เห็นวางอยู่ตรงนี้น่าจะเป็นเพาเวอร์แอมป์โมโนบล็อคตัวขนาดบักเอ้บกันเลยล่ะ เสียงจากห้องนี้มี่ความกระหึ่ม พละกำลัง รวมถึงความอ่อนช้อยเมื่อฟังเพลงประเภทโวคอลหวานๆๆ จำได้ว่าป๋าแกมีเปิดเพลงของ caren carpenter ด้วยล่ะ 55

รูปบนๆ เราจะเห็นซีดีเพลย์เยอร์อยู่คู่กับ DAC ตัวใหม่ของ DENON ตอนนี้ผมพูดถึงเจ้าซีดีก่อนนะครับ ตัวนี้เป็น SACD รุ่นใหม่สุด ราคาหอมปากหอมคอแค่ 550,000 เยน คือรุ่น DCD-SX1 นั่นเองครับ

เป็นตัวไฮเอนด์จากค่ายที่ออกแบบเสียงโดยป๋า Yoneda นี่ล่ะครับ ใครที่ชื่นชอบเสียงจากซีดีเพลย์เยอร์ค่ายนี้ และชอบฟังจาก SACD ตัวนี้น่าสนใจครับ และถ้าบอกว่าภาค DAC ของแดคตัวใหม่จาก denon ก็ใช้แผงบอร์ดเหมือนกันกับซีดีตัวนี้ ทำให้ยิ่งน่าสนใจหนักขึ้นไปอีกครับ

 แต่นแต๊น!! มาแล้วครับ DAC ตัวใหม่ จริงๆต้องเรียกว่าตัวแรกสุดจาก DENON ครับ เมื่อก่อนเข้ามาห้องนี้ ผมทราบมาว่าเจ้า DAC ตัวนี้ใช้ clock ถึง 2 ชุด และมีวงจรตัด noise ออก เล่นไฟล์ได้หลากหลายทั้ง PCM 24 bit 192 และเล่น DSD ได้ทั้งบน MAC และ Windows

ตัวเคสใช้อลูมิเนียมทั้งก้อนและใช้เลเซอร์ขุดลงไป แถมยังสลักคำว่า DENON อย่างเท่ๆไว้ด้านบนสุดด้วยครับ input ครบถ้วนครอบจักรวาล ใช้ภาค DAC ที่มีวงจรเหมือนกับกับซีดีเพลย์เยอร์ที่ราคาร่วมสองแสนบาทไทย

งานนี้ผมว่าคนที่เล่นเครื่องเสียงบ้านหรือเล่นหูฟัง และอยากได้ DAC ที่เป็นแบรนด์แข็งๆของญี่ปุ่นพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง เพราะแว่วๆว่าราคาแค่หมื่นกว่าบาท!!! จ๊ากๆๆๆๆๆ


  
ป๋า Yoneda โชว์สเตปต่อให้ฟังเพลงในชุดสุดท้ายด้วย DENON DA-300USB ให้เราฟังเป็นการทิ้งท้าย อย่างที่ทราบกันครับ เจ้า DAC ตัวนี้ลองฟังเปรียบเทียบกับภาค DAC ในตัวซีดีเพลย์เยอร์ โดยกัดกันระหว่างเปิดด้วยแผ่น SACD กับไฟล์ DSD ผมฟังๆดูยังรู้สึกว่าเสียงเจ้า DA-300B ยังเหลื่อมกว่าซะงั้น


ตัวนี้สำหรับคนเล่นเครื่องเสียงบ้านที่อยากเล่นไฟล์เพลงดิจิตอลกับเค้ามั่ง ผมว่าเป็นอะไรที่ง่ายดายและสมเหตุผลมาก เพราะในฟังก์ชั่นเท่ากันนี้ ถ้าเป็น DAC ฝรั่งราคาอาจจะทะลุไป 6-7 หมื่น หรือหมื่นกว่าอาจจะได้แค่ DAC จีน แต่อันนี้จ่ายเบาๆ แต่ได้แบรนด์ไฮเอนด์ญี่ปุ่นล่ะครับ 555

ก่อนที่เราจะออกจากห้องนี้ เพื่อไปทดสอบตัวอื่นๆในห้องต่อๆๆไป ผมก็ต้องขอถ่ายภาพร่วมกับป๋า Yoneda หน่อยล่ะครับ เพราะแต่ก่อนผมเองก็ใช้แอมป์ของ DENON รวมถึงเคยใช้ซีดีเพลย์เยอร์ของ DENON เช่นกัน การได้มาเห็นตัวเป็นๆของคนที่ดูแลออกแบบเรื่องเสียงแบบนี้ เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก

ว่าแล้วก็หิ้วปีกซะเลย ผมว่าแกคงนึกในใจว่าพวกมึงจะทำอะไรกูวะเนี่ย 555

แล้วก็ขอเช็คแฮนด์จับไม้จับมือซะหน่อย จริงๆถ้ากอดหรือหอมได้ผมคงทำไปแล้ว แต่กลัวแกรังเกียจผมอยู่เหมือนกัน เลยแค่จับมือก็พอครับ ผมว่าคนญี่ปุ่นแท้ๆต้องออกแนวแบบป๋า Yoneda ครับ คือสุขุม ลุ่มลึก มีความมุ่งมั่น ขวนขวาย และรักษาทิศทาง!!


แล้วถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึกกับพระอาจารย์โยเนดะกันหน่อย เห็นบักโจไม๊ครับ ไอ้หมอนี่มันคึกคักทุกช็อต ไม่ว่าจะทำอะไร บักโจต้องขอเอี่ยว และแบ่งปันความเฮฮาโดยตลอด และอย่างที่บอกครับ วันนี้บักโจเป็นคนพาเราเดินทัวร์ทั้งออฟฟิต และยังช่วยแปลภาษาญี่ปุ่นกลับมาเป็นอังกฤษ และแปลอังกฤษกลับไปเป็นญี่ปุ่นอีกรอบ...

คราวนี้เรากลับมาพบกับอีกท่านหนึ่งครับ อันนี้ผมจำชื่อไม่ได้ เขียนไปเดี๋ยวผิดเปล่าๆ 55 เพราะญี่ปุ่นถ้าไม่โตะโตะ ก็ดะดะ ถ้าเป็นไทยก็ชัยชัย ศักดิ์ศักดิ์ นั่นเองครับ 

ที่นี่เค้าแยกทีมงานออกคนละทีมกัน พวก 2 channel ก็จะไปออกแบบตรงจุดนั้นครอบคลุมทั้งหมด ส่วนการออกแบบหูฟังก็จะเป็นหน้าที่ของทีมงานอีกทีมหนึ่งที่คอยคิดค้น รีเสิร์ชและออกแบบ อย่างท่านนี้ก็เช่นกัน น่าจะชื่อ โอคูดะ ซึ่งออกแบบหูฟังโดยเฉพาะครับ
  
อันนี้เป็นไดรเวอร์ของหูฟังตัวท็อปสุดหรือ Flagship ของค่าย มันเป็นไดรเวอร์ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 50 มม. วัสดุทำจาก Nano Fiber และเป็นแบบ Free Edge คือไร้ขอบ ไร้ขอบทำไม การที่ไร้ขอบก็เพราะปล่อยให้ไดรเวอร์มีความอิสระในการส่งสัญญาณนั่นเอง


และ Nano Fiber เป็นวัสดุที่เบา มีความแกร่ง คงรูปได้ดี ไม่ซับคลื่นกวนที่เป็นส่วนเกิน แต่ละคนหยิบมาลูบๆคลำหน่อยว่ามันเป็นยังไง แต่พักเดียวมีเสียงจุ๊ปากและแอบหัวเราะจากคุณสิน ไม่ใช่อะไรหรอกครับ แกเผลอออกแรงมากเกินไปกดไดรเวอร์จนบุ๋มลงไปนั่นเอง 555

 ที่เห็นตอนนี้ยังไม่บุ๋ม แต่ของจริงบุ๋มลงไปแล้ว 555


นี่เลย เค้ากำลังสาธิตว่าวัสดุที่นำมาใช้ในหูฟังตัวท็อปอย่าง Denon AH-D7100 นั่นทำจากอะไร มันเป็นไมโครไฟเบอร์เกรดที่ใช้ในอากาศยานครับ แกกำลังโชว์ให้ดูว่าความแตกต่างคืออะไรกับวัสดุทั่วไป ที่เราเห็นแบบนี้อย่านึกว่าเดาเอานะครับ 


ทีมวิศวะกรที่ทำหูฟัง แกซื้อหูฟังตัวท็อปๆมาเพื่อทำการเปรียบเทียบข้อดีข้อด้อยของผลิตภัณฑ์แต่ละค่ายเหมือนกัน คือไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาทำอย่างเดียว อ้อลืมไป เจ้าวัสดุส่วนที่เป็นตัว headband และ Chamber สามารถลดแรงสั่นสะเทือนส่วนเกินได้ดีที่สุดตามที่แกวิเคราะห์มาครับ

เจ้า DENON AD-D7100 นั้น ด้านเปลือกที่เป็นสีเงินๆคือไมโครไฟเบอร์ ส่วนไม้ที่เห็นนั้นเค้าเลือกเอาไม้อาฟริกันมาฮอกกานีมาทำครับ เรื่องไม้นั้นเป็นที่เราทราบๆกันอยู่ว่า ไม้แต่ละพันธุ์มีการรีโวแนนซ์ที่ไม่เท่ากัน การแดมป์ปิ้งเสียงมีค่าไม่เท่ากัน ซึ่งแน่นอนว่าให้เสียงต่างกันด้วยครับ

ส่วนฟองน้ำที่เป็นตัว Pad นั้นเป็นแบบเมมโมรี่ คือเวลาวางไปแล้ว มันจะยุบและบุ๋มลงตามลักษณะใบหน้าของเจ้าของมัน พอถอดปุ๊บก็จะคืนตัวใหม่ และถ้าถึงคราวซวยเกิดโดนขโมยไป ฟองน้ำแบบนี้มันก็จะไปจำใบหน้าของคนที่ขโมยไปอีกเช่นกัน 555

 ไหนๆๆ ต้องลองกันหน่อยครับ เค้าจัดเซ็ทให้ลองฟังกับกับ DAC DA-300USB ครับ โดยใช้โน้ตบุ๊คทั่วไปนี่ล่ะครับ ฟังกับเพลงทั่วไปและไฮเรส ซึ่งให้ผลได้ดีตามคาด เพราะเสียงจาก 7100 นั้นเป็นซาวด์ที่เข้าใจง่าย ฟังง่าย และพอร่วมกับ DA300 USB ซึ่งมีคาแรคเตอร์ที่เป็นกลางๆ รายละเอียดเนียนๆ ยิ่งทำให้กลมกล่อมยิ่งขึ้นล่ะครับ 55

ผมแบ่งให้เจ้าเบียสฟังมั่ง เจ้าเบียสนี่ถือว่าเป็นนักฟังมือระดับด่านนรกเช่นกัน คือเวลามีของอะไรออกมาใหม่ๆ ผมกับเบียสจะหาข้อมูลและสั่งมาเล่น และด่านนรกเดียนเบียนฟูอย่างเจ้าเบียสก็จะทำการกลั่นกรองคาร์แคร์รอบนึงก่อน ตัวไหนไม่เข้าท่า ก็จะตกรอบแรกไป

และที่เดนอนเค้าอยากจะพบผมกับเบียสนั้น เมนหลักเลยเค้าอยากฟังความเห็นของตัวแทนจากประเทศไทย เพราะด้วยความที่ร้านมั่นคงคลุกคลีกับคนเล่นอยู่ตลอดเวลา น่าจะทราบว่าแนวทางและรสนิยมการฟังของคนไทยเป็นอย่างไรว่างั้นล่ะ

 หลังจากฟังเสร็จก็ถึงช่วงเวลาต้องมา discuss ก่อนเป็นรอบแรกครับ จุดประสงค์ที่เดนอนเค้าอยากพบผมกับเบียสก็คือเค้าทราบว่าร้านมั่นคงนั้นใกล้ชิดกับลูกค้าตลอดเวลา กินนอนขี้เยี่ยวแทบจะด้วยกัน เค้าอยากทราบว่าคนไทยมีพฤติกรรมการเล่นอย่างไร รวมถึงอยากทราบตลาดหูฟังโดยรวมของไทย และให้เรามาร่วมวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ของเค้าว่ามีจุดแข็งและจุดอ่อนอย่างไร

มหาจักรบอกว่าเค้าตื่นเต้นและเตรียมตัวต้อนรับผมกับเจ้าเบียส อารมณ์คล้ายๆว่าผมคือช่างตีดาบน้ำพี้มือหนึ่งของไทย หรือฉายาจอมดาบเจ็ดป่าช้านั่นเอง(ไม่ใช่นักชักดาบ) และเค้าก็เป็นช่างตีดาบซามูไรมือหนึ่งของญี่ปุ่น ก็เลยเกิดเป็นสกู๊ปที่ยาวโคตรๆๆอันนี้ล่ะครับ 555
ผมสะกิดบอกกับเจ้าเบียสว่า เฮ้ยๆๆเบียส เราสองคนต้องพยายามแอ๊คชั่นให้เหมือนคนรู้เรื่องหน่อย ไหนๆทางเดนอนก็เข้าใจผิดคิดว่าเราเป็นมวยแล้ว เราก็ต้องพยายามทำอย่าให้เค้าผิดหวัง หรืออย่าทำให้เค้าเกิดอาการจิตตกเพราะคบคนผิดว่ะ 555

ทางมหาจักรบอกว่าอันนี้ต้องเข้มข้น และซีเรียส มีอะไรที่อยากพูด หรืออยากแสดงความเห็น ขอให้ตรงไปตรงมาทุกอย่าง ถ้าโดนเตะเดี๋ยวค่อยมาว่าทีหลัง 555


ที่เห็นในรูปนี้ อย่านึกว่าแป๊บเดียวนะครับ หลายท่านอาจจะนึกว่าไปนั่งกันแป๊บๆ เหมือนไปเที่ยวโรงงานขายยาโป๊วยาบำรุงกระจู๋เสือแบบทัวร์ริสต์เมืองจีน ที่เรามักจะโผล่เข้าไปนั่งแว๊บๆตามโปรแกรมของไกด์แล้วสะบัดตูดไปเที่ยวกันต่อ

วันนั้นเราอยู่ในเดนอนกันราวๆ 8 ชั่วโมงเต็มๆ คือค่อยๆเรียงร้อยข้อมูล รวมถึงไปทดสอบของจริงๆ แล้วมานั่งวิเคราะห์ถกปัญหากันอีก ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก และสิ่งที่ทำให้ผมรู้เพิ่มเติมคือ คนญี่ปุ่นนั้นเวลาทำงานเค้าเอาจริงมากๆๆ เค้าเอาจริงมา ผมก็ต้องเอาจริงกลับไปมั่งล่ะ 555


หลังจากที่ถกปัญหาร่วมกัน จนพลาดพลั้งจะวางมวยไทยกับมวยญี่ปุ่น (พูดเล่น) ทางเดนอนก็พาผมกับเจ้าเบียสไปต่อกันที่ห้องจำลองหรือห้อง Simulate Room หรือเป็นห้องทดสอบเสียง และทดสอบผลิตภัณฑ์ของเดนอนครับ

เจ้าหน้าที่ท่านนี้เป็นลูกน้องของป๋าโอคูดะอีกทีหนึ่ง มีหน้าที่เทสคลื่นความถี่ต่างๆ เทสความสามารถของไดรเวอร์ โดยใช้ไมค์บันทึกเสียงแล้วไล่ฟังทุกๆความถี่ว่า มีช่วงไหนที่ครบถ้วนหรือหายไปอย่างไร อื้อฮือ เค้าครบถ้วนจริงๆด้วยแฮะ

 อย่างรูปโครงสร้างหูอันนี้ หลายคนอาจจะบอกว่าเฉยๆ ซื้อมาอย่างมากอันละไม่กี่ร้อยมาตั้งโชว์ก็ได้ แต่จริงๆไม่ใช่แบบนั้นครับ เค้าต้องมาศึกษาว่าอวัยวะชั้นในของหูนั้น มีส่วนไหนที่เรียกว่าอะไร การจะทำให้หูฟังใช้งานได้จริง จำเป็นต้องรู้องค์ประกอบเหล่านี้

การออกแบบสรีระหูฟัง inear ของ DENON นั้น เค้าทำแบบสำรวจและสุ่มกลุ่มตัวอย่างขึ้นมาเป็นพันๆชุดนะครับ เพื่อให้ได้กลุ่มตัวอย่างที่มีค่าเฉลี่ยที่เป็นกลางที่สุด แล้วถึงค่อยมาลงมือวิเคราะห์รูปทรงกันอีกที เรียกว่าพิมพ์หูกันขี้แตกขี้แตนเพื่อให้ได้ความแม่นยำของตัวอย่างครับ

 ผมงงมากๆๆครับ คือหุ่นตัวนี้น่าจะมีการฝังไมค์โครโฟนขนาดเล็กไว้ จำลองให้เหมือนว่าเจ้าหุ่นนี้คือคน และมันได้ยินเสียงเหมือนกับคน แล้วเค้าเอาหูฟังสวมไว้บนศีรษะหุ่น แล้วเปิดสัญญาณป้อนเข้าไป แล้วให้หุ่นมันฟังว่าความถี่ออกมาครบไม๊ ด้วยการมองกราฟบนจอคอมอีกทีหนึ่ง

อันนี้เป็นการเทสในห้องแล็ปก่อน ซึ่งเป็นกระบวนการแรกๆก่อนที่จะเป็นการฟังด้วยมนุษย์จริงๆอีกทีหนึ่ง อืมมมม ทำได้ไงเนี่ย ยอดจริงๆเล้ยๆๆๆ 555

หูฟังของ denon ที่เค้าเอามาไล่เทสและทดสอบกันครับ จริงๆ เดนอนมีหูฟังเป็นของตัวเองนานเกินกว่า 50 ปีแล้วด้วยซ้ำไป เดนอนมีหัวเข็ม และคิดกระบวนการทางดิจิตอลของตัวเอง มีเรคคอร์ดดิ้งของตัวเอง และมีเครื่องเสียงครอบคลุมในทุกๆกลุ่มของคนญี่ปุ่นเลยล่ะครับ

 แล้วลูกพี่กับลูกน้องก็ช่วยกันอธิบายวิธีการต่างๆทางห้องแลปให้พวกเราได้ฟังกัน ทั้ง 2 คนพูดภาษาอังกฤษได้ดี ผมเองภาษาอังกฤษระดับพระกาฬส่ายหน้า แต่สามารถฟังเค้าพูดได้เข้าใจ เนื่องจากคนเอเซียด้วยกันพูดอังกฤษ ผมว่ามันฟังง่ายกว่าอังกฤษแท้พูดอังกฤษล่ะครับ 555

ตอนนี้เค้ากำลังบอกที่มาที่ไปของการทดสอบระบบ Simulate อะไรของแกนี่ล่ะ และจะให้ผมเป็นเหยื่อทดลองห้องแลป สังเวยให้กับป๋าโอคูดะเป็นรายแรกว่างั้น โอ๊ยๆๆๆ เสียวๆๆ แกจะทำอะไรกับผมเนี่ย 555


นี่เลยครับ เค้าทดสอบด้วยการสร้างเสียงให้เกิดรอบๆศีระษะ ด้วยการนิ้วถูกันเบาๆ แล้ววนรอบหัวของหุ่น แต่ผมดันได้ยินเสียงมาวนอยู่รอบหัวตามนิ้วมือที่เค้าถูและโบกวนไปเรื่อยๆ เฮ้ย!!! บ้าไปแล้ว เหลือเชื่อจริงๆ ครับ คือเวลาเค้าดึงมือออกห่างจากหุ่น เสียงก็อยู่ไกล เอามาใกล้ก็อยู่ใกล้

แล้วเวลาถูนิ้ววนรอบหัว หูฟังเดนอนสามารถฟังออกเหมือนจริงว่ามันวนรอบหัวได้จริงๆๆ แถมเวลาเอาแถบเทปตีนตุ๊กแกมาดึงแขว่กๆ ข้างๆหูหุ่น ผมยังสะดุ้งแทบตกโต๊ะว่ามันมาอยู่ในหูผมได้ไง เหมือนจริงสุดๆเลยครับ 555

เฮ้ยๆๆๆ เบียส มึงลองมั่ง กูโดนแก๊งค์เดนอนต้มหรือเล่นปาหี่สนามหลวงหลอกหรือเปล่าวะเนี่ย ผมส่งหูฟังให้เจ้าเบียสลองมั่ง ปรากฏว่าเจ้าเบียสทำหน้าเลิ่กลั่กเหมือนโดนสาวบาร์เบียร์ขโมยล้วงกระเป๋าสตางค์ไป

คือเราทั้งสองคนฟังออกเช่นเดียวกัน อันนี้เป็นการจำลองให้ได้ยินถึงสภาพเสียงที่เกิดขึนจริงๆ และถ่ายทอดผ่านหูฟังมายังรูหูของเราได้อย่างสมจริง มายังไงไปยังงั้น บรื๋ววววว ขนลุกๆๆๆๆ


ไหนๆแล้ว ถ่ายรูปกับหุ่น Simulator ซึ่งไม่ใช่ญาติกับเทอร์มิเนเตอร์หรือคนเหล็กแต่อย่างใดนะครับ นี่ดีว่าเค้าไม่หาวิกผมปลอมมาใส่ให้หุ่น ไม่งั้นมีหวังตัวใครตัวมัน ใครเข้ามาห้องทดลองนี้ตอนดึกๆมืดๆคนเดียว มีหวังเป็นลมผวาหรือวิ่งป่าราบเพราะตกใจกลัวผีหลอกนั่นเอง 555

ถ่ายรูปกันหน่อยทั้งลูกพี่และลูกน้อง แก๊งค์เดนอนเล่นเอาผมงงกับวิธีการของแกจริงๆครับ ชาติญี่ปุ่นเป็นชาตินักคิด ไม่ต้องดูอะไรไกล ให้ดูพวกกล้องถ่ายภาพญี่ปุ่น รถญี่ปุ่น แอร์ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นเป็นชาติที่สามารถคิดค้นผลิตภัณฑ์เหล่านี้ออกมาครองโลกได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

ฝรั่งก็ฝรั่งเหอะ ราคาแพงกว่าหลายเท่า แถมไม่ได้รับความนิยมในหมู่กว้าง แต่ถ้าจะเอาแบบกินป๊อกเด้งแบบรอบวง ผมว่าประเทศญี่ปุ่นเค้าเจ๋งจริงนะครับ หลายคนนึกในใจตกลงพ่อเฮียเป็นญี่ปุ่นเหรอ ตอบว่ามะเหงกแน่ะๆๆ แต่ถ้ามาเห็นการทำงานของคนญี่ปุ่นแล้วเราจะเงียบหุบปากนิ่งเลยล่ะ 555

 ออกจากห้องดับจิต เอ๊ยห้อง simulate แล้ว พวกเราก็ถึงคิวมานั่งถกและฟังจากปากคนออกแบบ DAC DA300USB อีกทีครับ เห็นไม๊ครับว่าแปดชั่วโมงในเดนอนนั้นเหมือนแป๊บเดียวจริงๆ คือไปฟังจริงๆ แล้วก็ออกมาเถียงกัน เถียงเสร็จเข้าไปห้องอื่นๆไปฟังต่อ แล้วก็ออกมาเถียงกันต่อ แต่ไม่มีการชกปากกันแต่อย่างใด

มาอีกแล้ว บักโจมาเป็นล่ามในขั้นตอนนี้อีกแล้ว ผมว่าบริษัทเดนอนขาดบักโจไม่ได้จริงๆ หมอนี่คนเดียววิ่งทั่วสนาม เป็นผู้รักษาประตู เป็นศูนย์หน้า กองกลาง แถมยังเป็นหมอนวดประจำทีมได้อีก เมื่อกี๊ปูนบำเหน็จเป็นควายไปแล้ว 2 ตัว ตอนนี้ผมว่าแจกรถไถคูโบต้าให้อีก 2 คันดีกว่า 555

 ตาคนนี้มาร่วมกันอธิบายหลักการทำงานของ DAC ท่านนี้เป็นวิศวะกรมือสอง หน้าตาละม้ายคล้ายผมพอสมควร ที่เรียกว่าวิศวะกรมือสองอันนี้ไม่ใช่ของเก่าหรือของมือสองนะครับ แต่เป็นวิศวะกรผู้ช่วย ตัวคนออกแบบ DAC-300USB คือคนสวมแว่นด้านบนครับ 



ในเชิงเทคนิคนั้นผมพอทราบคร่าวๆว่า มีภาคจ่ายไฟที่ดี ชิปแดค PCM1795 และมีวงจรตัด noise ที่เรียงกันอยู่ รวมถึงใช้ Clock กำหนดสัญญาณ 2 ชุด เพื่อความถูกต้องของเสียง และได้ soundstage ที่กว้างไม่กระจุกตัวรวมกัน และลืมบอกไปอย่าง dac ตัวนี้เค้าออกแบบให้วางนอนได้ หรือจะวางตั้งเพื่อประหยัดพื้นที่ก็ได้ครับ อูวๆๆๆ

แล้วเราก็สรุปปิดคดีทุกอย่างตอน 2 ทุ่ม เรียกว่าครบถ้วนกระบวนความครับ DAC ตัวนี้นั้นน่าจะมีขายในไทยเร็วๆนี้ ส่วนสนนราคาผมก็ไม่ทราบ แต่คาดว่าแถวๆหมื่นกว่าบาทเท่านั้นเอง ได้ครบทุกอย่าง ทั้งภาค headphone amp ที่ขับได้ครอบคลุมหูฟังแทบจะทุกตัว ยกเว้นไอ้พวกหินๆ ไม่กี่ตัวในวงการ


ส่วนใครที่อยากได้ DAC ตัวนี้คือแดคพระเอกตัวหนึ่งในราคาเบาๆครับ ใครที่มีลำโพงบ้านไม่ว่าจะวางหิ้งหรือตั้งพื้น หรือใครที่มีมินิคอมโปอยู่ กำลังนึกอยากจะเล่นไฟล์เพลงดิจิตอลมาแทนซีดีเพลย์เยอร์ที่นับวันจะค่อยๆหดหายไป น่าจะเริ่มต้นกับ DAC ญี่ปุ่นอย่าง DA-300USB ได้สบายๆเลยล่ะครับ


อันนี้เป็น corner ของ DENON ล่ะ
ดึกแล้ว หิวข้าวกันแล้ว เราก็ต้องไปหาข้าวกินกันล่ะครับ 555 เราเดินผ่านห้างและแวะแผนกหูฟังกันนิดหน่อย แม่เจ้าโว๊ย ทำไมมันใหญ่โตบะละฮึ่มขนาดนี้ล่ะเนี่ย ประเทศญี่ปุ่นให้ความสนใจกับตลาดหูฟังใหญ่โตมโหฬารขนาดนี้เลยเหรอนี่ 555


ญี่ปุ่น นั้นมองหูฟังเหมือนอุปกรณ์พื้นฐานไปแล้วครับ ต่างจากไทยที่ยังมองหูฟังเหมือนเครื่องประดับ เหมือนอุปกรณ์อไรบางอย่างที่ยังเหมือนของฟุ่มเฟือย แต่ที่ญี่ปุ่นเค้ามองหูฟังเหมือนพวกยาสระผม เครื่องโกนหนวด คือจำเป็นต้องมีใช้มีไว้ฟัง อยู่เฉยๆๆไม่ได้


ก็ดูวิธีการโชว์ของเค้าซิครับ 55
ใคร มาญี่ปุ่น ถ้าอยากได้แบรนด์แปลกๆ หรือที่เมืองไทยไม่เคยเห็น เราน่าจะได้เห็นกันที่ญี่ปุ่นล่ะครับ พวกแบรนด์ระดับโลกมีครบ พวกแบรนด์ Local ก็ครบ ครบไม่ครบเปล่า ดันเยอะซะอีกแน่ะๆๆๆ 555

ผม เดินวนไปวนมา ดูวิธีการจัดวางของญี่ปุ่นเค้าแล้วก็อดขำไม่ได้ คือเค้าต้องขายเยอะจริงๆ เค้าถึงต้องจัดวางจัดเรียงกันจนยั้วเยี้ยเรี่ยราดแบบนี้ เอาเขาจริงๆคนไทยไม่น่าจะชอบการเรียงของแบบนี้ เพราะมันคล้ายซุปเปอร์มาร์เก็ตมากจนเกินไป 

  

เห็นรูปนี้ก็เป็นลมแล้วครับ เรียงแน่นราวกับเรียงแปรงสีฟัน หรือยาทารักแร้บ้านเราเลยล่ะครับ 555

พี่ไทยเราชอบแบบเรียงสวยงาม เรียงแบบมีช่องอากาศให้หายใจ เรียงพรืดเป็นตับแบบนี้ พี่ไทยไม่น่าจะชอบเท่าไหร่นะผมว่า 555

  
ญี่ปุ่น เค้าจะกั้นคอกไว้เป็นล็อคๆให้คนเข้าไปนั่งทดลองฟังกันได้ เมืองไทยทุกร้านก็ทำแบบนี้อยู่ครับ แต่ที่เหนือไปกว่านั้นคือ ที่ญี่ปุ่นเค้าสามารถจัดตัวเดโมให้ลองฟังกันแบบสะบั้นหั่นแหลก เฉพาะสินค้าเดโมนั้น มูลค่าแทบไม่อยากคิดเลยว่าเท่าไหร่ 555

หลัง จากออกจากเดนอน ชาวคณะก็มากัน 7 คนครับ คือทีมเมืองไทย 5 คน ทีมญี่ปุ่นอีก 2 คน นั่นก็คือบักโจ กับรองประธานเดนอน คุณคามิยะนั่นเอง วันนี้ทางเดนอนเป็นเจ้าภาพสวด เอ๊ย เป็นเจ้าภาพในการเลี้ยงอาหารรับรอง 555
 
ลาภปากจริงๆ เพราะเค้าพาไปกินชาบูชาบูระดับพระกาฬของเมืองคะวะซะกิเลยล่ะครับ





คุณ คามิยะ แนะนำวิธีกิน วิธีกลืนให้กับผม เฉพาะเนื้อวัวที่เค้าเสิรฟมาปกติผมว่าก็โอเคโคตรๆแล้ว พอมาเจอเนื้อแบบสเปเชียลนี่เล่นเอาแทบไม่อยากกลืน เนื้อตรงนี้เค้าเรียกว่าอะไรก็ไม่รู้ ผมกับเจ้าเบียสเป็นพวกจระเข้ คือกินทุกอย่างที่ขวางหน้า โครงไก่ต้มฟักเราก็กิน นับประสาอะไรกับร้านชาบูอันดับหนึ่งของเมืองนี้ 555



เสร็จแล้วใส่ปากกลืนเลย 555



เจ้าเนื้อที่ว่านี้น่าจะเป็นผืนที่ดีที่สุด วิธีกินชาบูที่ถูกต้อง เค้าให้เอาเนื้อจุ่มลงไปในน้ำที่เดือด แล้วเปล่งเสียงคำว่า "ชาบู ชาบู" 2 times ร้องเฉยๆไม่ได้ ให้เอาตะเกียบลากไปทางขวาแล้วเปล่งคำว่าชาาาาาบู แล้วลากมาทางซ้ายก็เปล่งว่าชาาาาบู




เอ้า ถ่ายรูปร่วมกับท่านรองประธานเดนอนหน่อยคร้าบบ 555 มองภาพนี้แล้วอมยิ้ม ดูแล้วสนุกสนานเหมือนกับเด็กๆๆ ดูท่านรองประธานของผมครับ กลายเป็นมนุษย์ไฟฟ้าตาโปนไปซะแล้ว วันนั้นทุกคนดื่มเบียร์แบบฟรีแอลกอฮอลล์ ส่วนเจ้าเบียสขอเบียร์แบบมีแอลกอฮอลล์หนักๆๆ จุดไฟติดเลยยิ่งดี 555



รับประทานอาหารเสร็จก่อนจะลาจากกัน ผมขอถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับท่านรองประธานเดนอนหน่อย ผมบอกต้องหิ้วปีกตามแบบฉบับ ญี่ปุ่นออกลูกงง เพราะการหิ้วปีกนั้นเค้าเข้าใจว่าผู้ถูกหิ้วน่าจะเมาจนไม่มีปัญญาเดินเลย ต้องหิ้วปีก
 
แกก็เลยแอคชั่นให้สมจริงซะเลยๆๆๆๆ 555

ครายยยว่าโผมเมาๆๆๆ ผมทานแต่โค้ก หลังจากแกล้งแอคชั่นแบบเท่ๆแล้ว คราวนี้ก็โชว์ท่าดีดตัวผงกหัวขึ้นมาเหมือนคนทีหายเมา ดูหน้าท่านรองครับ ได้อารมณ์สุดๆๆๆ 555

ญี่ปุ่นเค้าเป็นแบบนี้ทุกๆๆคน คือเวลางานต้องเป็นงาน เลิกงานส่วนเลิกงาน จะเล่นจะหัวอะไรต้องทำหลังเลิกงานว่างั้นล่ะ 555




ส่ง ท้ายค่ำคืนนี้กับทางเดนอนด้วยภาพนี้ครับ หลังจากกินดื่มกันพอสมควร เราก็ถ่ายภาพที่ระลึกร่วมกัน แล้วแยกย้ายกันกลับ จำได้ว่าแท็กซี่จากคะวะซะกิ มาถึงชิบูย่า ระยะทางไม่น่าเกิน 25 กิโล ซัดเข้าไปหมื่นกว่าเยน หรือตกราวๆ สามพันห้าร้อยบาท

เจ้าโจบอกว่าต้องทำเวลากลับบ้านก่อนีรถไฟขบวนสุดท้าย เพราะถ้าพลาดนั่นหมายถึงค่าแท็กซี่ที่แพงระดับหัวฟาดพื้น บ้านบักโจนั้นอยู่ไกลระดับนั่งรถไฟนานชั่วโมงครึ่ง ซึ่งให้ผมเดามาเป็นค่าแท็กซี่ เผลอๆๆน่าจะราวๆๆ 6-7000 บาทไทย จ๊ากๆๆๆๆ

ติดตามต่อใน
Episode 3
คลิ๊กเลยจ้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น